หญิงสาวแห่งเถ้าและกำยาน (Daughter of Smoke & Bone #1)
![]() |
ชื่อเรื่อง : หญิงสาวแห่งเถ้าและกำยาน (Daughter of
Smoke & Bone)
ผู้แต่ง : Laini Taylor
ผู้แปล : พรรษพร ชโลธร
ประเภท
: แฟนตาซี โรแมนติก
สำนักพิมพ์
: แพรวสำนักพิมพ์
เรื่องย่อ
ขอแนะนำให้รู้จักกับ คารูว์ เธอเป็นเด็กสาวอายุสิบเจ็ดผู้มีผมสีฟ้าแต่กำเนิด
เป็นนักเรียนโรงเรียนศิลปะแห่งกรุงปราก สมุดสเก็ตช์ของเธอเต็มไปด้วยภาพสัตว์ประหลาดต่างๆ
นานา เธอมักหายตัวไปทำธุระอันลึกลับเสมอ เธอเป็นใครน่ะหรือ...คำถามนั้นหลอกหลอนเธอมาตลอด
และเธอกำลังจะได้รู้คำตอบ
เมื่อเกิดรอยมือสีดำบนประตูตามที่ต่างๆ ทั่วโลก เมื่อชายมีปีกรูปงามปรากฏกายต่อหน้าเธอ...จ้องมองเธอด้วยดวงตาสีเพลิงอันแผดเผา ความลับกำลังจะถูกเปิดเผย ความรักกำลังจะก่อตัว โลกของเธอจะเปลี่ยนไปตลอดกาล
เมื่อเกิดรอยมือสีดำบนประตูตามที่ต่างๆ ทั่วโลก เมื่อชายมีปีกรูปงามปรากฏกายต่อหน้าเธอ...จ้องมองเธอด้วยดวงตาสีเพลิงอันแผดเผา ความลับกำลังจะถูกเปิดเผย ความรักกำลังจะก่อตัว โลกของเธอจะเปลี่ยนไปตลอดกาล
หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือเล่มแรกของชุด มหาสงครามสองพิภพ ในส่วนของครึ่งแรกของเล่มจะเป็นการปูเรื่องไปสู่สงครามระหว่างไคเมร่ากับเซราฟิน นี้เป็นนิยายที่ให้ความรู้สึกเท่มากๆ สำหรับเรา ทั้งตัวละครและก็เรื่องราว (ไม่นับเรื่องความรักของคู่พระนาง) เราชอบตัวละครคารูว์มาก ทั้งผมสีฟ้า และก็รอบสักตามตัว ภาพที่อยู่ในหัวนี้คือเท่มากๆ ยังมีประเด็นในเรื่องฟันกับคำอธิษฐาน และความขัดแย้งระหว่าง ไคเมร่ากับเซราฟิน ซึ่งสะท้อนกับสังคมของเราได้ดีมากๆ นอกจากนั้นหนังสือยังเล่าเรื่องราวและเหตุผลของทั้งสองฝ่าย ถือว่าเป็นหนังสือที่ครบรส
ส่วนนี้อาจมีเปิดเผยเนื้อหาในเล่ม
ความขัดแย้งของสองเผ่าพันธุ์นั้นเริ่มมาจากการรุกรานของเซราฟิน
เพื่อขยายอำนาจและความเจริญให้กับเผ่าพันธุ์อื่นๆ
ด้วยความที่คิดว่าตัวนั้นสูงค่ากว่าไคเมร่าจึงทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำ
ทำให้ไคเมร่าลุกขึ้นมาต่อต้านจนกลายเป็นสงครามที่ไม่จบสิ้น
ด้วยความที่นิยายนั้นเล่าเหตุผลทั้งสองฝ่ายทำให้รู้สึกว่าไม่มีใครผิดใครถูก
เพราะเล่มนี้เป็นเพียงเล่มแรก
มันจึงเป็นเพียงเล่มที่ปูทางไปสู่สงครามครั้งใหญ่ในเล่มถัดไป
“Have you ever asked yourself, do monsters make war, or does war make monsters?”
ในส่วนของฟันกับคำอธิษฐาน นั้นบอกเราได้ว่าในโลกนี้ไม่มีอะไรที่ได้มาฟรี
ในโลกของนิยายเล่มนี้การใช้เวทมนตร์นั้นจำเป็นต้องแลกกับความเจ็บปวด
นางเอกจึงถูกสอนไม่ให้ใช้คำอธิษฐานพร่ำเพื่อ เธอจึงเรียนรู้ที่จะความหวังให้เป็นพลัง
นั้นทำให้เธอหวังจะสร้างโลกใหม่ที่ไร้ซึ่งสงคราม
“Hope can be a powerful force. Maybe there's no actual magic in it, but when you know what you hope for most and hold it like a light within you, you can make things happen, almost like magic.”
ในส่วนโรแมนติกของเรื่องนี้ เราเฉยๆ
รู้สึกประเด็นสงครามน่าสนใจกว่า แต่โมเม้นระหว่างคารูว์และอาคีวาก็น่ารักเหมือนกัน
ชอบมากกว่าแมดริกัลกับอาคีวา อ่านแล้วทำให้นึกถึงโรมีโอกับจูเรียต แต่โดยส่วนตัวไม่ได้ชอบตัวละครอาคีวาเท่าไหร่ รู้สึกไม่ค่อยดึงดูดเท่าซูส (เพื่อนของคารูว์) หวังว่าจะได้เห็นมุมต่างๆ ของอาคีวามากกว่านี้ในเล่ม 2 แต่ในภาพรวมก็ถือว่าเป็นนิยายที่สนุกวางไม่ลงเลยทีเดียว




0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น